มารยาท ในคำที่เรียบง่ายหมายถึงพฤติกรรมที่ดีซึ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ มารยาท หมายถึงพฤติกรรมในลักษณะที่รับผิดชอบต่อสังคม มารยาท หมายถึงแนวทางที่ควบคุมวิธีที่บุคคลที่รับผิดชอบ ควร ประพฤติตนในสังคม
อะไร อยู่ เบื้อง หลัง การ เสื่อม ทราม ของ มารยาท? What's Behind the Decay of Manners? มารยาท ดีมาก ขณะ เดียว กัน เขา ก็ ได้ รับ บทเรียน แรก ใน เรื่อง มารยาท ที่ เหมาะ สม. At the same time, he also received his first lessons in proper manners. จง มี มารยาท, อด ทน, และ มี ไมตรี จิต. Be courteous, patient, and friendly. เพื่อ ที่ จะ ธํารง ไว้ ซึ่ง ระเบียบ ของ สังคม ท่ามกลาง มนุษย์ ที่ มี แนว โน้ม ผิด บาป นั้น เขา เน้น ความ สําคัญ ของ ลี ซึ่ง หมาย ถึง ความ เหมาะ สม, มารยาท, และ ระเบียบ ของ สิ่ง ต่าง ๆ. In order to maintain social order among men with sinful tendencies, he stressed the importance of li, which means propriety, courtesy, and the order of things. การ เลียน แบบ ความ มี มารยาท ของ พระ เยซู ช่วย ให้ ความ สัมพันธ์ ของ เรา กับ คน อื่น ๆ ดี ขึ้น ได้ อย่าง ไร? How can imitating Jesus' courtesy improve our relationships with others? การมี มารยาท ไม่ได้เปลี่ย่นแปลงความจริงหรอกนะ Politeness doesn't change the facts. ใด ๆ ของมนุษย์ยังขาของเขา excels ผู้ชายทั้งหมดและสําหรับมือและเท้าและร่างกาย -- แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ที่จะพูดคุยกับพวกเขาก็ยัง ที่ผ่านมาจะเปรียบเทียบเขาไม่ได้เป็นดอกไม้ของ มารยาท ที่ -- แต่ฉันจะใบสําคัญแสดงสิทธิที่เขาเป็นอ่อนโยนเป็นแกะไป.
กล่าวแนะนำผู้ร่วมอภิปรายให้ผู้ฟังรู้จักอย่างย่อๆ ๒. กล่าวชื่อเรื่องที่จะอภิปรายและกำหนดเวลาการอภิปราย ๓. เชิญผู้อภิปรายพูดให้ทั่วถึงกัน คอยรักษาเวลาการพูดให้อยู่ในกำหนด ๔. เข้าใจเรื่องที่จะอภิปรายอย่างดี ประชุมปรึกษาหารือวางแผนการพูดไว้ล่วงหน้า ๕. ช่วยสรุปการพูดอภิปรายของแต่ละคนและเชื่อมโยงไปยังผู้อภิปรายแต่ละคน ๖. คอยเพิ่มเติมหรือสรุปเรื่องอภิปรายให้ผู้ฟังเข้าใจดียิ่งขึ้น ๗. คอยแจกคำถามของผู้ฟังให้ผู้อภิปราย ข้อควรปฏิบัติของผู้ดำเนินการอภิปราย การอภิปรายจะได้ผลเพียงใดขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ดำเนินการอภิปราย ผู้ดำเนินการอภิปรายควรถือหลักปฏิบัติดังนี้ ๑. ติดตามคำพูดของผู้อภิปรายแต่ละคนอย่างใกล้ชิด โดยบันทึกสาระสำคัญไว้ ๒. กล่าวซ้ำหรืออภิปรายประเด็นที่ผู้อภิปรายไว้ไม่ชัดเจน ๓. พยายามให้การอภิปรายดำเนินไปโดยราบรื่น ถ้าหากการอภิปรายมีทีท่าจะชะงักลงต้องกระตุ้นให้ดำเนินต่อไป ๔. พยายามให้โอกาสแก่ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการอภิปราย ๕. ควบคุมการอภิปรายให้อยู่ในประเด็นที่กำหนด โดยเตือนผู้ที่อภิปรายนอกประเด็นอย่างสุภาพ ๖. กล่าวสรุปการอภิปราย หน้าที่ของผู้อภิปราย ๑. เข้าใจเนื้อเรื่องที่จะพูดเป็นอย่างดี เตรียมตัวมาอย่างดี เตรียมความรู้และความคิดเห็นตามหัวข้อเรื่องให้ละเอียดและทำความเข้าใจให้ชัดเจน ๒.
เนเธอร์แลนด์ ( 52) อันดับ 2. เยอรมนี (55) อันดับ 3. สหราชอาณาจักร( 55) อันดับ 4. แคนาดา( 57) อันดับ 5. สิงคโปร์( 57) อันดับ 6. สหรัฐอเมริกา( 58) อันดับ 7. ฝรั่งเศส(60) อันดับ 8. ออสเตรเลีย ( 61) อันดับ 9. ชิลี (62) อันดับ 10. อีตาลี ( 64) อันดับ 11. โปแลนด์ (65) อันดับ 12. ไอร์แลนด์ ( 65) อันดับ 13. ฟิลิปปินส์ (66) อันดับ 14. เม็กซิโก (68) อันดับ 15. สวีเดน (70) อันดับ 16. ฮังการี (70) อันดับ 17. บราซิล (71) อันดับ 18. อินเดีย (71) อันดับ 19. เปรู (72) อันดับ 20. อาเจนตินา (72) อันดับ 21. รัสเซีย (74) อันดับ 22.
เพื่อเสนอปัญหาหรือเรื่องบางอย่าง ๒. ให้คนกลุ่มหนึ่งมาร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนทรรศนะอย่างมีหลักเกณฑ์และมีเหตุผลตามหลักประชาธิปไตย ๓. ผู้ร่วมอภิปรายเสนอข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะ และแสวงหาข้อแก้ไขที่ดีที่สุด อาจมีความเห็นสอดคล้องกันหรือโต้แย้งกันก็ได้ ๔. หาข้อยุติของปัญหาหรือเรื่องดังกล่าว ๕. ให้ข้อคิดและเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป ประเภทของการอภิปราย ๑. การอภิปรายกลุ่ม หมายถึง การอภิปรายที่บุคคลมาร่วมปรึกษาหารือกัน อาจมีจำนวน ๕-๑๐ คน หรือมากกว่านี้ก็ได้ ทุกคนมีส่วนในการพูด ผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง การอภิปรายแบบนี้จะไม่มีผู้ฟัง เพราะทุกคนเป็นทั้งผู้้พูดและผู้ฟังนั่นเอง ๒.
หลังจากที่รัฐบาลกฎหมายกำหนดความเร็วรถใหม่ ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยเฉพาะเลนขวาห้ามต่ำกว่า 100 กม. /ชม. ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันว่า กฎหมายความเร็วรถล่าสุด ขับความเร็วเท่าไร ไม่โดนใบสั่ง ขับความเร็วเท่าไร ไม่โดนใบสั่ง ขับความเร็วเท่าไรไม่โดนใบสั่ง และเส้นทางไหนบ้างมีผลบังคับใช้แล้วไปดูกันเลย กฎหมายความเร็วรถล่าสุด ขับความเร็วเท่าไร ไม่โดนใบสั่ง และเส้นทางไหนบ้างมีผลบังคับใช้แล้ว หลังจากที่ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่กำหนด โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป ลงนามโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 4 มี. ค. 2564 โดยข้อความสำคัญของ ประกาศฉบับดังกล่าวคือ รถยนต์ที่นอกเหนือจากข้อยกเว้น 6 ข้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม. ทั้งนี้ หากรถดังกล่าวอยู่ในช่องเดินรถช่องขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กม.
ธรรมเนียมไทยถือว่า เมื่อมีผู้มาเยือนถึงบ้าน เจ้าบ้านควรต้อนรับเป็นการแสดงมารยาทอันดีงามของเจ้าบ้าน มารยาทเป็นคุณธรรมที่ดีที่ทุกคนควรปฏิบัติ การต้อนรับแขก จึงควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ คือ 1. ถ้านัดหมายกับแขกคนใดไว้ต้องจำวันนัดให้ได้ พอจวนเวลานัดต้องเตรียมตัวให้พร้อมไม่ใช่แขกมาแล้วรอเราแต่งตัว 2. เมื่อแขกมาถึงบ้านควรเชื้อเชิญเข้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และให้ความเคารพตามควร 3. จัดที่นั่งในที่อันควร จัดน้ำ บุหรี่ มารับรอง ถ้าแขกนั้นเป็นเพื่อนสนิทต้องแนะนำให้รู้จักกับสามี หรือภรรยา หรือสมาชิกในครอบครัว แต่ถ้าไม่สนิทสนมและเป็นแขกมาธุระส่วนตัวก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำ 4. ชวนแขกคุย อย่าให้เหงา และแสดงความเห็นใจเมื่อแขกมาปรับทุกข์ด้วย ขณะสนทนาอยู่กับแขก ไม่ควรลุกเดินไปมาบ่อยๆ หรือมองดูนาฬิกา ซึ่งเท่ากับเป็นการไม่ให้ความสนใจแก่แขก และเป็นทำนองไล่แขกทางอ้อม คนที่มีมารยาทดีไม่ควรทำอาการรำคาญ หรือง่วงนอน ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยหรือง่วงก็ไม่ควรแสดง 5. เจ้าบ้านไม่ควรตำหนิหรือด่าใครต่อหน้าแขก ควรจะพูดหลังเมื่อแขกกลับแล้ว 6. ถ้าห้องรับแขกมีวิทยุหรือโทรทัศน์ เวลาแขกกำลังสนทนาอยู่ไม่ควรให้ลูกหลานมาเปิดวิทยุฟังหรือดูโทรทัศน์ที่ในห้องรับแขก 7.
สถานที่ต่างๆมีกฏการปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามที่ได้กำหนดไว้เพราะฉะนั้นเราควรปฏิบัติให้ถูกต้องตามกาลเทศะเพื่อที่จะให้ถูกต้องตามมารยาทไทยในวิถีกาญจนา ซึ่งในบล็อกนี้เราจะพูดถึงเรื่อง มารยาทในที่ประชุม มารยาทในที่ประชุมมีทั้งหมด 16 ข้อ 1. แต่งกายสุภาพ 2. เข้าห้องประชุมก่อนเวลาไม่ควรเข้าช้า 3. การเข้าและการออกจากห้องประชุม ควรทําความเคารพผู้เป็นประธานทุกครั้งไม่ควรเดินเข้าหรือออกไปเฉย ๆ 4. นั่งฟังด้วยความตั้งใจ เมื่อคนอื่นพูด 5. จดบันทึกการพูดของผู้อื่นด้วย จะได้ทราบว่าพูดเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง 6. เมื่อต้องการพูดหรือแสดงความคิดเห็นควรยกมือ 7. อย่าพูดนอกเรื่อง พยายามพูดให้เข้าประเด็น และทําให้การประชุมดําเนินไปสู่เป้าหมายด้วยดี 8. ควรพูดให้ได้ยินทั่วถึงกัน 9. น้ำเสียงและสําเนียงที่พูดสุภาพไม่กระแทกหรือตะโกน 10. ควรโต้เถียงเพื่อด้วยความถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเอาชนะกัน 11. กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่นั่งเฉยๆ โดยไม่ยอมพูดอะไรเลย 12. กล้าที่จะออกเสียงสนับสนุนหรือคัดค้าน เพื่อให้เรื่องเป็นไปโดยถูกต้อง 13. อย่าแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว เมื่อมีคนไม่เห็นด้วยหรือคัดค้าน 14. อย่าถ่วงเวลายืดเยื้อเมื่อเห็นว่าเรื่องควรยุติได้แล้ว 15.
การอภิปรายเป็นแบบการพูดซึ่งมีลักษณะคล้ายการสนทนา แต่การอภิปรายแตกต่างกับการสนทนาในลักษณะสำคัญ คือ การอภิปรายมีความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแน่นอน เช่น การตัดสินใจหรือการแก้ปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนการสนทนาโดยทั่วไปไม่ได้กำหนดเรื่องที่จะสนทนาไว้ก่อน และอาจเปลี่ยนเรื่องไปได้ต่างๆ สุดแต่เหตุการณ์ การอภิปรายประกอบด้วย ๑) ผู้พูด ๒) ผู้ฟัง ๓) หัวข้อเรื่อง ๔) สถานที่ แบบของการอภิปราย การอภิปรายมีหลายแบบ แบบที่นิยมกันทั่วไป คือการอภิปรายแบบธรรมดา และการอภิปรายเป็นคณะ 1. การอภิปรายแบบธรรมดา เป็นการร่วมประชุมของกลุ่มบุคคลซึ่งไม่มากนัก โดยมีผู้หนึ่งทำหน้าที่ดำเนินการอภิปราย เพื่อปรึกษาหารือหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยผู้เข้าร่วมประชุมคนใดจะอภิปรายก่อนหรือหลังก็ได้ มักใช้กับเรื่องทางวิชาการในชั้นเรียน การประชุมสัมนาหรือการประชุมของสโมสร สมาคมและหน่วยงานต่างๆ 2. การอภิปรายเป็นคณะ เป็นการประชุมให้ความรู้หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในคณะผู้อภิปรายซึ่งจัดขึ้นโดยเฉพาะประมาณ ๕ คน และมีผู้หนึ่งทำหน้าที่ดำเนินการอภิปราย ผู้เข้าร่วมประชุมนอกนั้นเป็นผู้ฟัง ผู้อภิปรายแต่ละคนได้รับมอบหมายให้พูดในเวลาต่างๆ กัน เป็นการพูดและซักถามระหว่างคณะผู้อภิปรายเพื่อผู้ฟังต่อหน้าผู้ฟัง แต่ไม่ได้พูดกับผู้ฟังโดยตรง แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามผู้อภิปรายคนใดคนหนึ่งได้ในตอนท้าย ความมุ่งหมายของการอภิปราย ๑.